10 เรื่องที่ควรรู้ในการดูดไขมัน

สาวๆหลายๆคน ที่ไม่มีความมันใจในตัวเองนั้น คิดว่า ตัวเองนั้นมีไขมันส่วนเกินมากเกินไป แล้วก็คิดอยากที่จะไปกำจัดไขมันส่วนเกินนั้นออก อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจไปเลยค่ะ เรามาดูข้อควรรู้และเรื่องที่คุณอาจที่จะไม่เคยรู้มาก่อน กันีกว่า

1. การดูดไขมันไม่ได้เป็นการลดน้ำหนักนะ อย่างแรกเลย การดูดไขมันนั้น จะมีผลเฉพาะต่อบางพื้นที่บางจุดแค่นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นขาและเอว (พุง) นอกจากนั้น ก่อนที่คุณจะตัดสินใจไปดูดไขมันส่วนเกินนั้น Dr.Dirk Lazarus ศัลยแพทย์พลาสติก แห่งเคปทาวน์ พูไว้ว่า คุณนั้นควรที่จะมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) น้อยกว่า 30 เท่านั้น

2. วิธีการใหม่ ส่งตรงมาจากสปา วิธีนี้เรียกว่า Cryolipolysis (Cool Sculpting) ซึ่งเป็นการสลายไขมันด้วยความเย็น แต่ว่าวิธีการนี้ ศัลยแพทย์ ยังมีข้อแย่งอยู่ว่า เป็นการสลายไขมันเฉพาะจุดดเพียงเท่านั้น

3. การใช้เทคโนโลยีที่ต่าง ผลลัพท์ก็ต่าง การดูดไขมันออกด้วยวิธี Ultrasonic-Assisted Liposucting (UAL หรือ การดูดไขมันด้วยอัลตร้าซาวด์) ซึ่งใช้การประยุกต์การใช้คลื่นเสียงความถี่สูง ด้วยการใช้สัญญาณเสียงส่งผ่านไปที่ปลายท่อยาว และทำให้เซลล์ไขมันแบบหนาแน่นเช่น ในส่วนหน้าอกและหลัง

ส่วนการดูดไขมันด้วยวิธี Laser Lipolysis (การดูดไขมันด้วยเลเซอร์) ซึ่งเป็นการใช้แสงเลเซอร์ยิงเซลล์ไขมัน ที่ต้องการให้สลายไป จนกลายมาเป็นน้ำมัน เมื่อไขมันนั้นสลายไปแล้ว มันก็จะไหลออกทางเข็มทางเข้าของสายเลเซอร์

ยังมีอีกหนึ่งวิธี นั่นก็คือ Tumescent Technique เป็นการดูดไขมันแบบฉีดสารละลายระหว่างยาชา และยา Epinephrine เป็นวิธีที่มีการพัฒนามาอย่างยาวนานและ แน่นอนว่า วิธีนี้นี่แหละค่ะ ที่คุณจะได้รับบาดเจ็บน้อยกว่า ผิวหนังที่ถูกดูดไขมันออกไปจะเรียบเนียน ไม่ค่อยมีร่องรอยให้เห็น เลือดออกน้อย แถมยังมีรอยช้ำแค่นิดเดียวเท่านั้น

4. ผลของมันจะอยู่นานขึ้น ถ้าหาเรานั้นปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง ระยะพักฟื้น ภายหลังจากที่ดูดไขมันจะสั้นหรือนานกว่าปกติ ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง ถ้าหากว่า คุณใช้ผ้ายืดรัดกระชับรูปทรง และลดความเร็วในการเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้เกิดแผลเป็น เกิดลิ่มเลือดและเลือดคั่งได้ นอกจากนี้ การรับประทานอาหารนั้น ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่ควรจะใส่ใจ ควรหันมาทานอาหารเพื่อสุขภาพ จะดีกว่า เวลาที่เราจะเห็นผลอย่างชัดเจนนั้นก็ราวๆ 6 เดือนได้ นั่นคือระยะเวลาที่คุณจะต้องใส่ใจในตัวคุณเองให้มากขึ้น

5. มันอาจมีผลข้างเคียงได้ ถ้าหากว่าการดูดไขมันนั้น กระทำโดยผู้อ่อนประสบการณ์ ก็จะส่งผล ให้เกิดอันตรายกันคนไข้ได้ อย่างเช่น การเกิดรอยไหม้ของไขมัน จากการ UAL (Ultrasonic-Assisted Liposucting) การอุดตันของลิ่มเลือดที่ปอด และอาการช็อคที่เกิดจากการทดแทนน้ำที่ไม่เหมาะสม หลังจากดการดูดไขมันเสร็จสิน

6. ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น Marella O’Reilly CEO ของ HPCSA (Health Professions Council of South Africa) องค์กรผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุข ได้กล่าวเอาไว้ว่า การดูดไขมันนั้นต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เท่านั้น ภายใต้เงื่อนไขและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม

7. หาย…แต่เพิ่ม งงมั้ยหละ แน่นอนว่า การดูดไขมันนั้น อาจจะทำให้เซลล์ไขมันของคุณนั้นหายไป แต่ทว่าไขมันส่วนอื่นนั้นอาจที่จะเพิ่มมาแทน เพื่อทดแทนส่วนที่หายไป ผู้หญิงรูปร่างปกติ ที่ดูดไขมันที่ต้นขาและท้องน้อย จะมีไขมันในปริมาณที่เท่ากัน เพิ่มขึ้นที่บริเวณเอวส่วนบนช่วงไหล่ และต้นแขนส่วนไตรเซพ การเพิ่มของไขมันนั้น เป็นการพิทักษ์ร่างกายโดยการสะสมไขมัน

ถ้าหากว่า ภายหลังจากที่คุณได้ดูดไขมันไปแล้วนั้น คุณก็จะกลับไปบริโภคอาหารที่ให้พลังงานมากเกินกว่าที่ใช้ในแต่ละวัน ไขมันก็จะกลับเข้ามาอีกในเซลที่ยังไม่ดนทำลาย

8. ไปเพิ่มที่อื่นแทน ถึงแม้ว่าคุณจะทำการดูดไขมันส่วนเกินออกไปแล้ว แต่แน่นอนว่าไขมันจะไม่กลับเข้าไปสะสมอยู่ที่เดิมที่ถูกดูดออกมา เพราะว่าการดูดไขมันนั้น ได้ทำลายผนังเซลล์ในส่วนนั้นไป แต่ไขมันก็จะไปเพิ่มที่ส่วนอื่นแทนนั่นเอง

9. ไขมันนั้นนำไปเพิ่มที่อื่นได้ ไขมันที่ถูกดูดออกไปนั้น จะสามารถนำกลับมาฉีดกลับเข้าไปในอวัยวะส่วนอื่นๆแทน ได้ ตั้งแต่ริมฝีปาก จรดอวัยวะเพศเลยทีเดียว…! มันคือเรื่องจริงนะ เนื่องจากไขมันที่ถูกดูดออกมานั้น มันก็คือส่วนหนึ่งของร่างกายเรา จึงไม่มีโอกาสที่จะต่อต้านด้วยร่างกายของตนเอง และกระบวนการแบบนี้ สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เราดดูดดไขมันเพียงแต่เราต้องฉีดยาชาเพิ่มเข้าไปอีก

10. หญิงจะดีกว่าชาย ศัลยแพทย์พลาสติกจากเมือง เดอร์บัน ประเทศแอฟริกาใต้ ได้กล่าวว่า การดูดไขมันนั้น มักจะประสบผลสำเร็จ ในผู้หญิง มากกว่าใน ผู้ชาย เพราะว่าไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายของเพศชายนั้น จะทำการดูดได้ยากกว่าและใช้เวลานานกว่าในเพศหญิง

ถ้าสาวๆ คนไหน คิดจะไป ดูดไขมัน ส่วนเกินออกละก็ ควรที่จะทำการศึกษาเกี่ยวกับวิธีการและสถานประกอบการณ์ก่อน รวมถึง สภาพร่างกายของตนเองด้วย นี่แหละ ที่สำคัญ ถ้าหากร่างกายคุณนั้นไม่พร้อม ไม่ว่าแพทย์นั้นจะเชี่ยวชาญขนาดดไหน มันก็เสี่ยงเหมือนเดิม

กาแฟ ทำให้คุณผอม ได้จริงหรือ?

สังคมของคนยุคปัจจุบัณ มีค่านิยมอย่างสูงต่อ “การผอมแบบเพรียวลม” ที่มักจะนิยมกันมากในกลุ่มของดาราและนางแบบก่อนที่จะแพร่กระจายเข้ามาในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน โดยที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะกลายเป็นคนที่ทันสมัย ไม่ตกยุค ด้วยการรักษาเรือนร่างให้ผอมเพรียวลม เพื่อที่จะแข่งขันกันตามกระแสสังคม ด้วยวิธีใดก็ได้ขอให้ผอมเพรียวลมก็เป็นพอ อัน เป็นเป้าหมายสูงสุด การโฆษณา กาแฟ ลดน้ำหนัก กันอย่างแพร่หลายทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่า การดื่ม กาแฟ แล้วจะทำให้รูปร่างของเขานั้นผอมเพรียวลม แต่คุณทราบหรือไม่ว่าอันที่จริงแล้วการดื่ม กาแฟ ลดน้ำหนักนั้นมัน ก็มีข้อเสียอยู่เยอะเลยทีเดียว

การโฆษณา กาแฟ ลดน้ำหนักนั้น ส่วนมากจะโฆษณาด้วยการขายตรงแบบปากต่อปาก หรือการโฆษณาที่แอบแฝงตามสื่อมวลชนที่ไม่ได้พูดกันตรงๆ แต่ใช้การทำกิจกรรมหรือท่าทางในการสื่อสารให้เรานั้นเข้าใจว่า กาแฟ นั้นช่วยลดน้ำหนักได้จริง ด้วยสรรพคุณที่อ้างว่าช่วยลดน้ำหนักได้นั้น มันจึงเป็นที่นิยมของหนุ่มสาวและวัยทำงาน ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ กาแฟ เป็นจำนวนมากมักที่จะอ้างว่าได้เพิ่มเติมสารอาหารบางอย่างเข้าไปด้วยที่ช่วยให้ลดน้ำหนักได้ เช่น ไฟเบอร์ (ช่วยเพิ่มกากอาหารในอุจจาระ) คอลลาเจน (พบได้ในเนื้อสัตว์ และจะถูกย่อยเป็นโปรตีนขนาดเล็กก่อนถูกดูดซึมเหมือนโปรตีนทั่วไป) รวมทั้งแอล-คาร์นิทีนและโครเมียม

นอกจากนี้ ทางการแพทย์ก็ยังมีการยืนยันว่าสรรพคุณต่าง ๆ ของสารอาหาร ที่ผู้ผลิตได้เติมลงไปใน กาแฟ นั้น ไม่ได้เป็นความจริงเลยที่เดียว ถึงแม้ว่า กาแฟนั้น จะมีส่วนช่วยในการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย แต่หากดื่มเข้าในปริมาณที่มากเกิน โดยหวังว่าจะให้ร่างกายของเราผอมเพรียวลม และหุ่นดีขึ้นนั้นอาจเกิดอันตรายกับร่างกายของเราได้ เพราะว่า คาเฟอีนมันจะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายของเรานั้นทำงานมากจนเกินไป และอาจที่จะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ ได้นอกจากนั้นมันอาจทำให้เราอ้วนขึ้นได้เช่นกัน เพราะว่าในผลิตภัณฑ์ กาแฟ นั้นจะมีครีมเทียมและน้ำตาลผสมอยู่จึงทำให้ร่างกายของเราได้รับพลังงานหลายกิโลแคลอรี แล้วเรานั้นจะผอมได้อย่างไร?

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) ได้ออกมาแจ้งเตือนผู้บริโภคว่าอย่าหลงเชื่อโฆษณาในเลือกผลิตภัณฑ์กาแฟ ควรอ่านฉลากให้ถี่ถ้วน ทั้งนี้ ขอแนะนำว่าให้ผู้บริโภคควบคุมน้ำหนักโดยการหมั่นออกกำลังกาย กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ และทำจิตใจให้แจ่มใสจะดีที่สุด

เปลี่ยนแขนโตให้เรียวงาม

สาวๆ คนไหนที่มีแขนโตหรือกล้ามโตตอนนี้สบายใจกันได้แล้ว เพราะเรามีท่าบริหารดีๆ ปฏิบัติกันได้ง่ายๆ มาฝาก เพียงแค่คุณทำให้ได้วันละเพียง 7 นาที เท่านั้น คุณก็จะเปลี่ยนแขนโตให้เป็นแขนที่เรียวงามได้กันแล้ว

อุปกรณ์ที่ต้องใช้ ดัมบ์เบลล์หรือถ้าไม่มีอาจจะเปลี่ยนมาใช้เป็นขวดเปล่าใส่น้ำที่มีน้ำหนักประมาณ 1-4 กิโลกรัม 2 ขวด และนาฬิกาจับเวลา

วิธีปฏิบัติ อันดับแรกควรเริ่มด้วยการอบอุ่นร่างกายเบาๆ เพื่อให้ไปช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจให้ทำงานได้อย่างสม่ำเสมอเสียก่อนโดยใช้เวลาสัก 2-3 นาที จะใช้วิธีการเดินเร็ว จ็อกกิ้งเบาๆ หรือจะกระโดดเชือกก็ได้ตามความชอบของแต่ละคน หลังจากได้เวลาแล้วให้ออกกำลังกายตามขั้นตอนที่กำหนดไว้จนครบทุกขั้นตอน แต่ละท่าต้องทำติดต่อกันจนครบตามเวลาที่กำหนด หลังจากนั้นให้ทำการยืดกล้ามเนื้อแบบเบาๆ อีกสักประมาณ 5 นาที

ท่าที่ 1 ย่อแล้วยก

ท่านี้จะช่วยกระชับ ก้น สะโพก เอ็นร้อยหวาย และกล้ามเนื้อต้นแขน ใช้เวลาในการปฏิบัติ 3 นาที

อันดับแรกให้ยืนตัวตรง แยกขาออกให้พอดีกับช่วงสะโพก แขนทั้งสองข้างปล่อยลงมาแนบกับลำตัว มือทั้งสองข้างถือดัมบ์เบลล์ไว้หันฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าหาตัว แล้วทำการทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ จนต้นขาทั้งสองข้างขนานกับพื้น ยืดอกและลำตัวส่วนบนให้ตั้งตรง หลังจากนั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนงอศอกทั้งสองข้างขึ้นจนดัมบ์เบลล์แตะที่ช่วงไหล่ไปพร้อมๆ กัน เมื่อทำการย่อตัวลงอีกครั้งก็ให้ปล่อยแขนทั้งสองข้างลง ทำลักษณะนี้ซ้ำอีกจนครบเวลาที่กำหนดไว้

ท่าที่ 2 ย่อแล้วกาง

ท่านี้จะช่วยกระชับ กัน สะโพก ไหล่ เอ็นร้อยหวาย และ กล้ามเนื้อต้นแขน ใช้เวลาในการปฏิบัติ 3 นาที

ให้ยืนตัวตรง แยกขาทั้งสองข้างออกให้พอดีกับช่วงสะโพก ปล่อยแขนทั้งสองข้างแนบกับลำตัว มือถือดัมบ์เบลล์ไว้ทั้งสองข้าง ก้าวขาข้างใดข้างหนึ่งไปด้านหลังแล้วค่อยๆ ย่อตัวลง กางแขนทั้งสองข้างออกให้อยู่ในระดับเดียวกันกับบ่า จากนั้นค่อย ๆ ปล่อยแขนทั้งสองข้างลง และกลับไปสู่ท่าเริ่มต้น เปลี่ยนขาอีกข้างก้าวไปข้างหลังแล้วทำแบบเดิมซ้ำ ให้ทำสลับกันไปเรื่อยๆ จนครบเวลาที่กำหนดไว้

ท่าที่ 3 วิดพื้น

ท่านี้จะช่วยกระชับ ก้น สะโพก หน้าอก ไหล่ หน้าท้อง หลังส่วนบน และ กล้ามเนื้อต้นแขน ใช้เวลาปฏิบัติ 1 นาที

ให้เริ่มจากทำท่าเหมือนเวลาคลานโดยให้เข่าทั้งสองข้างแนบลงกับพื้น วางมือทั้งสองข้างให้กว้างกว่าช่วงไหล่เล็กน้อย ทิ้งตัวลงช้า ๆ โดยใช้มือทั้งสองยันพื้นไว้จนช่วงอกเกือบจะแตะพื้น ยกตัวกลับสู่ท่าเริ่มต้น ทำซ้ำไปเรื่อยๆ จนครบเวลาที่กำหนดไว้

เป็นยังไงกันบ้างไม่ยากเลยใช่ไหม แค่ปฏิบัติตามนี้กันเป็นประจำรับรองได้ว่าแขนที่เรียวงามจะไม่หนีคุณไปไหนแน่นอน

7 วิธี เผาผลาญไขมันอย่างเห็นผล

หากสาวๆ อยากจะให้รูปร่างสวยเพรียว นอกจากว่าเราจะต้องเอาจริงกับมันแล้ว ยังต้องมีวิธีการลดน้ำหนักที่ถูกต้องซึ่งเรามีวิธีดีๆมาแนะนำดังนี้

1. การจำกัดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ

กินมื้อเช้าให้เยอะที่สุด มื้อกลางนั้นวันรองลงมาจากมื้อเช้า ส่วนมื้อเย็นก็ควรเป็นมื้อที่ทานให้น้อยที่สุด หรือกินแค่ผลไม้หรือสลัดผักสักจานก็พอแล้ว

2. ต้องออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์

แต่ละครั้งไม่ควรที่จะต่ำกว่า 30 นาที สาวๆนั้นควรที่จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ เพื่อจะให้การเผาผลาญไขมันส่วนเกินนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเมื่อสลายไขมันได้แล้ว การออกกำลังกายในครั้งต่อๆไปก็จะทำให้กล้ามเนื้อของเรากระชับขึ้นและป้องกันไม่ได้ไขมันหวนคืนมาอีก

3. ต้องงดอาหารที่มีไขมันสูงอย่างเด็ดขาด

วิธีนี้คือวิธีที่จะช่วยลดหน้าท้องได้ดีที่สุด เพราะหน้าท้องของเรานั้นจะเป็นที่แรกที่ร่างกายของเราจะเอาไขมัน ส่วนเกินมาเก็บเอาไว้

4. สำหรับการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักนั้น

เราจะต้องเน้นที่การเคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะด้วยถึงจะได้ผลดี เช่น เต้น วิ่ง ว่ายน้ำ แอโรบิก

5. ถ้าหากว่าสาวๆ อยากจะออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อลดหน้าท้อง

ควรจะออกกำลังในตอนเช้าจะได้ผลดีที่สุด เพราะว่าในตอนเช้าเป็นเวลาที่ระบบต่างๆ ในลำไส้กำลังทำงาน ถ้าได้ออกกำลังกายมันก็จะยิ่งเสริมการเผาผลาญบริเวณนี้ได้มากกว่าปกติ

6. ถ้าเราต้องการจะลดหน้าท้องให้ได้ผล

หัวใจหลักๆของหัวข้อนี้ อยู่ที่การทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องของเราได้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ถ้าท่าลดหน้าท้องที่คุณเลือกนั้นใช้ทำไม่ได้แบบนี้ ก็แปลว่าท่านั้นเป็นท่าที่ไม่ได้เรืองหรือ ต่อให้ออกกำลังกายอย่างหนักแค่ไหน แต่หน้าท้องของเรานั้นไม่ได้เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อ ก็เท่ากับว่าเราเสียแรงฟรี

7. ท่าบริหารลดหน้าท้อง

ไม่ว่าเรานั้นจะเลือกทำท่าไหนก็ตาม เราควรที่จะทำไม่ต่ำกว่าเซ็ตละ 15 ที จากนั้นเราก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนเซ็ตขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง 3 เซ็ตใน 1 ครั้ง