เคล็ดลับขาเรียวสวย

ขาเรียวเล็กเป็นที่ยอดปรารถนาของสาว ๆ แทบจะทุกคน ก็แหม…ถ้าใครมีขาที่เรียวสวย ความมั่นใจที่จะเลือกหยิบกางเกงขาสั้น กระโปรงสั้น มาใส่ก็เพิ่มขึ้นอีกโข แถมหนุ่ม ๆ หลายคนยังชอบแอบมองขาผู้หญิงด้วยนะ เพราะฉะนั้น หากจะบอกว่า ขาเรียวสวยเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของผู้หญิงก็คงไม่ผิดใช่มะ ว่าแต่…จะทำยังไงให้มีขาเรียวสวยได้ล่ะ เอ้า…ตามมาอ่านกันจ้า

Step 1 : มาออกกำลังบริหารเรียวขาให้สวยสมใจกันดีกว่า

ก่อนอื่นจะมีขาเรียวสวยได้ก็ต้องหมั่นบริหารช่วงขาถูกไหมล่ะ เพราะฉะนั้น จะมัวรอช้าอยู่ใย เรามีเคล็ดลับเด็ด ๆ ที่จะช่วยบริหารช่วงขามาฝากกัน ใครถนัดท่าไหน เลือกบริหารกันได้ตามใจชอบเลยนะจ๊ะ

บริหารบั้นท้าย

ท่าที่ 1 ท่ายืน

โดยเริ่มจากยืนแยกขา งอเข่าเล็กน้อย หลังตรง มือเท้าสะเอว แล้วงอเข่าทำมุมเก้าสิบองศา เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยจนตัวค้อมลงมาหาขาอ่อน ส้นเท้าแนบพื้น ลดตัวลงไปกระทั่งก้นอยู่ในระดับเดียวกับเข่า เกร็งไว้หนึ่งวินาที จากนั้นค่อย ๆ หวนกลับมาท่ายืน ทำซ้ำ 20 ครั้ง ทำบ่อย ๆ จะช่วยให้กล้ามเนื้อก้นและขาอ่อนส่วนหน้ากระชับ

ท่าที่ 2 ท่านอน

นอนหงายโดยงอขาข้างหนึ่งไว้แล้วให้เท้าข้างนั้นวางราบกับพื้น งอเข่าอีกข้างเข้ามาหาตัวและไขว้เหนือขาอ่อน ปล่อยให้หัวเข่าตกออกไปทางด้านนอก วางมือทั้งสองข้างไว้ระหว่างหัวเข่าและดึงขาด้านที่งออยู่ให้เข้าหาหน้าอก

บริหารขาอ่อน-ลดต้นขา

ท่าที่ 1

บริหารกล้ามเนื้อขาอ่อน หน้าขา และหลังขา เริ่มจากยืนตรง ยื่นขาข้างหนึ่งไปข้างหน้า แขม่วท้อง แล้วงอเข่าลง ทิ้งน้ำหนักลงที่ส้นเท้า เกร็งสะโพกไว้ แล้วค่อย ๆ กลับมายืนตัวตรงช้า ๆ ทำซ้ำ 15 ครั้ง และทำสลับกับขาอีกข้าง

ท่าที่ 2

ออกกำลังขาอ่อนด้านใน ให้สาว ๆ นอนตะแคงซ้าย งอเข่าขวาพาดพื้น ขาซ้ายยืดตรง จากนั้นค่อย ๆ ยกขาซ้ายขึ้น เกร็งไว้ประมาณ 1 วินาที แล้วยกลง ทำซ้ำแบบนี้ 15 – 20 ครั้ง แล้วสลับกับขาอีกข้าง

ท่าที่ 3

ยืดกล้ามเนื้อขาอ่อนด้านใน (Butterfly Stretch) เริ่มจากนั่งลงโดยให้หัวเข่างอและชี้ไปด้านนอกและให้ฝ่าเท้าทั้งสองข้างประกบกันอยู่ตรงกลาง วางข้อศอกทั้งสองข้างไว้ด้านในหัวเข่าทั้งสองแล้วค่อย ๆ โน้มตัวไปข้างหน้า ค่อยกดหัวเข่าทั้งสองข้างลงหาพื้น

ท่าที่ 4

ออกกำลังกายขาอ่อนด้านในไปแล้ว ก็มาออกกำลังกายขาอ่อนด้านนอกกันบ้าง ซึ่งวิธีการก็คล้ายกับการบริหารขาอ่อนด้านใน โดยให้สาว ๆ นอนตะแคงข้าง งอเข่าขวาเล็กน้อย แต่ใช้มือขวารองรับศรีษะไว้ ส่วนขาซ้ายเหยียดตรงแล้วค่อย ๆ ยกขึ้น เกร็งไว้ 1 วินาทีแล้วลดลง ทำซ้ำ 15 – 20 ครั้ง จากนั้นสลับทำกับอีกข้าง

ท่าที่ 5

ทีนี้ก็มาออกกำลังกายขาอ่อนด้านในและด้านนอกพร้อม ๆ กัน ให้ยืนตรงแยกขา มือเท้าสะเอวไว้ ย่อเข่าขวาลงแล้วก้าวเท้าออกมาข้างหน้าจนกระทั่งขาอ่อนขวาขนานกับพื้น พยายามอย่าให้เข่ายื่นเลยข้อเท้าขวา ค่อย ๆ รั้งเท้าซ้ายกลับ กดแนบพื้นเพื่อสร้างแรงต้านกระทั่งเท้ามาคู่กันและกลับสู่ท่าเดิม ทำซ้ำกับขาซ้าย ทำข้างละ 15 – 20 ครั้ง

ท่าที่ 6

ให้นอนราบลงบนพื้น ไขว้ข้อเท้าไว้ด้วยกัน แล้วพยายามงอเข่าให้เข้ามาชิดตัวให้มากที่สุด ขณะที่ข้อเท้ายังไขว้กันอยู่ จากนั้นค่อยยืดขาออก คลายข้อเท้าทั้งสองเท้าออกจากกัน แล้วกลับสู่ท่าเริ่มต้น ฝึกทำบ่อย ๆ ประมาณ 24 ครั้งต่อวัน

ท่าที่ 7

หาผ้าปู หรือเบาะรองนั่งมารองก้น เพื่อรับน้ำหนักและป้องกันการเจ็บก้น นอนหงายไปกับพื้น จากนั้นยกขาขึ้นทั้งสองข้างขึ้นเหยียดตรง ค้างเอาไว้ แยกขาออกจากกันไปทางด้านข้างแล้วหุบขา ทำซ้ำไปมา 20 ครั้ง และปิดท้ายด้วยการปั่นจักรยานกลางอากาศ พยายามทำให้เร็ว และให้มากครั้งที่สุด ก่อนจะเปลี่ยนท่ามานั่งกับเก้าอี้ เหยียดขาให้ตรง ยกขาขึ้นจากพื้นเล็กน้อย สลับซ้าย-ขวากันไปมา อย่างน้อย 100 ครั้ง

ท่าที่ 8

ยืนหันข้างให้กับกำแพง วางมือบนกำแพง เหยียดขาข้างที่ไม่ได้ชิดกำแพง ยกขึ้นมา 90 องศา ด้านหน้าพยายามให้ขนานกับพื้น ทำอย่างน้อย 10 ครั้ง ต่อด้วยการยกขาขึ้นทางด้านข้างและด้านหลัง อย่างละ 10 ครั้งเหมือนกัน จากนั้นเปลี่ยนเป็นขาอีกข้างหนึ่ง ทำซ้ำ ๆ เหมือนกัน

ท่าที่ 9

ต้องใช้เวท น้ำหนัก 1 กิโลกรัม เป็นตัวช่วยด้วยค่ะ ให้นอนลงกับพื้นแล้วผูกเวทติดไว้ที่ขา แล้วยกขาให้สูงขึ้นจากพื้น 45 องศา อย่างช้า ๆ นับ 1-5 แล้ววางลง จนเมื่อร่างกายเริ่มชินกับน้ำหนักของเวท ให้ยกขาขึ้นลงด้วยความเร็วมากขึ้น โดยท่าลดต้นขานี้ควรทำทีละข้าง ครั้งละ 3 เซต เซตละ 10 ครั้ง หมั่นทำบ่อย ๆ อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งค่ะ เมื่อทำจนชำนาญแล้ว ก็อาจจะยกขาให้สูงขึ้นกว่าเดิมได้

ท่าที่ 10

ท่านี้จะเป็นการบริหารต้นขาด้านหน้าได้อย่างดีเลยล่ะ โดยให้คุณสาว ๆ นอนหงาย แล้วสอดมือทั้ง 2 ข้างรองก้นไว้ งอเข่าซ้ายขึ้นมาเข้าหาอก แล้วยก-เหยียดขาขวาขึ้นข้างบนอย่างช้า ๆ เมื่อเหยียดขาขวาจนสุดแล้ว ให้ค้างอยู่ในท่านั้นสักครู่ เพื่อให้เกิดความรู้สึกตึงที่ต้นขาด้านหน้า และด้านหลังของลำขา จากนั้นกลับสู่ท่าเริ่มต้น โดยเปลี่ยนเป็นงอเข่าขวาเข้าหาอก แล้วเหยียดขาซ้ายยกขึ้นสูงแทน ทำ 3 เซ็ต เซ็ตละ 10-15 ครั้ง ต่อวัน และควรทำเป็นประจำ 3-5 วันต่อสัปดาห์ค่ะ

ท่าที่ 11

ท่านี้อิมพอร์ตมาจากประเทศญี่ปุ่นค่ะ โดยให้คุณสาว ๆ อยู่ในท่ายืน ยกขาข้างหนึ่งไปข้างหน้า ปลายเท้าชี้ขึ้นฟ้า จากนั้นค่อย ๆ ลากขามาข้างหลัง ไขว้ไปที่ขาอีกข้างแล้วค้างไว้นานประมาณ 20 วินาที จากนั้นสลับมาทำอีกข้าง จะช่วยให้ต้นขาเล็กลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมท่านี้ยังทำได้ง่าย ๆ แม้คุณจะยืนทำอะไรอยู่ก็ตาม

ท่าที่ 12

ขอเอาใจคนรักการว่ายน้ำบ้าง เพราะวิธีลดต้นขานี้สามารถทำได้ในน้ำค่ะ ง่าย ๆ เลยก็คือ ให้ใช้แขนทั้งสองข้างจับขอบสระ คว่ำหน้า ยืดขาเหยียดให้ลอยตัวพร้อมกับตีขาไปจนเมื่อย แล้วพักสักครู่ก่อนจะตีขาต่อ ทำประมาณ 10-15 ครั้งค่ะ

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งท่า ก็คือ ให้ยืนในน้ำ หันข้างให้ขอบสระ มือหนึ่งจับขอบสระไว้ อีกมือหนึ่งเท้าเอวไว้ เหยียดขาให้ตรง แล้วเหวี่ยงขาข้างเดียวกับที่เท้าเอวไปข้างหน้า แล้วเหวี่ยงกลับ ทำทั้งหมด 20 ครั้ง แล้วสลับมาทำอีกข้างหนึ่งอีก 20 ครั้ง ทำซ้ำจนครบ 10-15 ครั้ง จะช่วยบริหารต้นขาได้เยี่ยมเลยล่ะ

บริหารน่อง

ท่าที่ 1 บริหารกล้ามเนื้อน่องส่วนหลัง

ท่านี้ต้องใช้อุปกรณ์อย่างเช่นม้านั่งตัวเล็ก ๆ หรือบันไดเล็ก ๆ และหาสถานที่ที่มีราวจับหน่อย เพื่อความสมดุลในการทรงตัว

เริ่มจากให้ยืนอยู่บนบันไดโดยให้ส้นเท้าทั้งสองข้างยืดลอยไปด้านหลัง ยกตัวขึ้นโดยเขย่งด้วยปลายเท้าช้า ๆ จากนั้นวางเท้าลงตามเดิม แล้วเขย่งตัวขึ้นใหม่ซ้ำ ๆ หลาย ๆ รอบ ท่านี้จะช่วยยืดกล้ามเนื้อน่องส่วนหลังและทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น

ท่าที่ 2 บริหารกล้ามเนื้อน่องด้านหลัง ด้วยลูกบอลบริหาร

ให้สาว ๆ นอนลงบนพื้น ยกส้นเท้าให้วางอยู่บนลูกบอลสำหรับบริหาร ยืดปลายเท้ากลับเข้ามาหาตัว ยกบั้นท้ายขึ้นจากพื้น จากนั้นค่อย ๆ หมุนลูกบอลเข้ามาจนหัวเข่าขึ้นมาอยู่เหนือตะโพก จากนั้นหมุนลูกบอลกลับไปที่เดิม

ท่าที่ 3 ยืดน่อง

ยืนห่างจากต้นไม้หรือกำแพงหนึ่งช่วงแขน ยกขาข้างหนึ่งไปข้างหลังและงอเข่าของขาข้างที่อยู่ด้านหน้า โน้มลำตัวไปข้างหน้าและวางมือทั้งสองข้างลงบนต้นไม้โดยให้แขนดึง เพื่อยันเอาไว้ไม่ให้ล้ม โน้มตะโพกมาข้างหน้า และงอเข่าด้านที่อยู่ด้านหน้า ดันส้นเท้าของเท้าหลังให้ยึดติดกับพื้น หากรู้สึกการยืดกล้ามเนื้อท่านี้ทำให้ไม่สบายหรือทำได้ลำบาก ก็ลดความห่างระหว่างเท้าหน้าและเท้าหลังลง เมื่อทำเสร็จแล้วก็สลับทำอีกข้าง

บริการกล้ามเนื้อขา

ให้นอนตะแคงทับเหนือลูกบอลบริหาร วางสมดุลไว้ที่เท้าล่าง จากนั้นยกลำตัวขึ้นและลงโดยทำให้ได้ระยะยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้และทำอย่างกระฉับกระเฉง เพื่อให้ยากขึ้นอีกหน่อย ให้ยกขาด้านที่อยู่ด้านบนวนเป็นวงกลมพร้อมกันไป เมื่อทำเสร็จแล้วให้เปลี่ยนมาทำอีกข้างหนึ่ง

Step 2 : แก้ปัญหาผิวพรรณ

แม้ว่าการบริหารช่วงขาของคุณอย่างเอาเป็นเอาตาย อาจจะทำให้คุณมีขาเรียวเล็กสวยได้สมใจแล้ว แต่สาว ๆ จะกล้านุ่งสั้นหรือจ๊ะ ถ้าเรียวขาของเราลายพร้อย แถมยังเป็นแผลเป็น เส้นเลือดขอด เซลลูไลท์ อีกต่างหาก แบบนี้ไม่ไหวแน่ ต้องมาดูแลผิวพรรณช่วงขากันก่อนแล้วล่ะ

กำจัดขนหน้าแข้ง

ใคร ๆ ก็มีขนหน้าแข้งทั้งนั้น แต่ถ้ามีเกินงามก็ดูไม่เหมาะใช่ไหมล่ะ ลองดูวิธีการกำจัดขนหน้าแข้งที่เรารวบรวมมาฝากกัน

โกน วิธีเบสิกที่ง่ายและเร็ว แนะนำให้โกนขนขณะอาบน้ำอุ่น เพราะน้ำอุ่นจะช่วยให้รูขุมขนเปิด ทำให้โกนได้ง่าย ลื่นมือ โดยอาจใช้เจล หรือโฟมโกนหนวด เพื่อช่วยหล่อลื่น กระชับผิวหลังการโกนได้ด้วย จากนั้นก็ใช้ออยล์ลูบไล้ผิวที่ยังเปียก ๆ อยู่ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว แล้วซับด้วยผ้าขนหนูให้แห้ง

ครีมขจัดขน สะดวก รวดเร็ว แต่ต้องเลือกใช้ให้ดี เพราะบางรายอาจเกิดอาการแพ้ได้

ย้อมสี ควรเลือกสีที่เข้ากับผิวของสาวเอเชีย อย่างสีน้ำตาลอ่อน หรือสีน้ำตาล

กำจัดผิวเซลลูไลท์ (cellulite)

ผิวเปลือกส้มที่ต้นขา และเรียวขา ย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของสาว ๆ ทุกคน ว่าแต่…จะจัดการปัญหาเซลลูไลท์อย่างไรดีนะ

ขจัดความเครียด เพราะความเครียดป้องกันการขจัดของเสียออกจากร่างกาย หันมาทำตัวสบาย ๆ ฝึกการหายใจ เพื่อให้ระบบร่างกายทำงานได้อย่างเหมาะสม

บริหารกล้ามเนื้อให้แข็งแรง อาจใช้ตุ้มน้ำหนักหรือบริหารออกแรงต้านก็ได้ เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังแน่นขึ้น

ใช้มะนาวช่วยกระจายเซลลูไลท์ โดยจิบน้ำมะนาวครึ่งหนึ่งผสมกับน้ำร้อนอีกครึ่งหนึ่งในตอนเช้า

ใช้น้ำมันหอมระเหยนวดบริเวณที่ต้องการ เช่น Juniper บริสุทธิ์ช่วยขจัดของเสียส่วนเกินออกจากร่างกาย ส่วนโรสแมรี่จะช่วยป้องกันการอุดตันของต่อมน้ำเหลือง ซึ่งนั่นทำให้เซลลูไลท์น้อยลงไปด้วย

ดื่มน้ำให้มากขึ้น เพราะน้ำจะช่วยล้างเอาสารพิษต่าง ๆ ในร่างกายออกไป

หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้เกิดการเผาผลาญไขมัน และทำให้ก้อนไขมันมีขนาดเล็กลง ช่วยให้ผิวดูเรียบขึ้น

ใช้ฝ่ามือนวดที่ด้านหลังของเข่า หรือขาอ่อน ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่สามารถออกกำลังกายได้ อาจใช้ควบคู่กับครีมลดไขมันเฉพาะส่วนหรือใช้เครื่องนวดก็ได้ เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อ การไหลเวียนของเลือด และระบบต่อมน้ำเหลือง ให้เนื้อเยื่อไขมันแตกตัว

ขัดผิวเวลาอาบน้ำช่วงเช้า เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว และช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวก หรืออาจจะอาบน้ำอุ่นเพื่อช่วยช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตให้เป็นไปโดยสะดวก

สลายเซลลูไลท์ด้วยเทคโนโลยี หรือการทำศัลยกรรม ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกสรรหลากหลายวิธี

ควบคุมอาหาร ไม่รับประทานอาหารขยะ น้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ให้ทานผักผลไม้สดให้มาก ๆ รวมทั้งทานอาหารโปรตีน จำพวกไข่ ปลา ถั่วต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

งดสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่จะไปทำลายการสร้างคอลลาเจนในผิว ซึ่งมันทำให้เซลลูไลท์เพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้เลยล่ะ

แก้ปัญหาหัวเข่าดำ-ด้าน

บางคนต้องคุกเข่าบ่อย หรือไม่ได้ดูแลหัวเข่าเท่าที่ควร ทำให้หัวเข่าซึ่งเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันน้อยถูกเสียดสีจนดำคล้ำได้ง่าย ๆ ลองใช้สูตรเด็ดต่อไปนี้ขัดผิวที่บริเวณหัวเข่าของคุณดู

ผสมน้ำมันทาตัว (หรือจะใช้น้ำมันมะกอกก็ได้) ครึ่งถ้วย กับน้ำตาลทราย 4–5 ช้อนโต๊ะ นวดลงผิวบริเวณหัวเข่าที่เปียกน้ำแล้วเป็นแนววงกลม น้ำตาลจะช่วยลอกสะเก็ดผิวแห้ง ๆ ออก ในขณะที่น้ำมันจะช่วยทำให้ผิวนุ่มขึ้น จากนั้น ก็ล้างออกด้วยสบู่ เช็ดให้แห้ง แล้วทาครีมชนิดเข้มข้นตามลงไปทันที ทำแบบนี้สัปดาห์ละครั้ง จะช่วยให้หัวเข่านุ่มเนียนขึ้น

แก้ปัญหาเส้นเลือดขอด

การรักษาเส้นเลือดขอดสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้ถุงน่องทางการแพทย์ หรือการพันผ้ายืด รวมทั้งการฉีดยา หรือน้ำเกลือเข้าหลอดเลือดขอดให้เส้นตีบลง ซึ่งเห็นผลภายใน 6-8 สัปดาห์ แต่หากเส้นเลือดขอดมีขนาดใหญ่และยาวมาก แพทย์อาจจะแนะนำให้ผ่าตัดดึงเส้นเลือดขอดออกก็ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของคนไข้ และการตัดสินใจของแพทย์ในแต่ละราย

วิธีป้องกันเส้นเลือดขอด

หลีกเลี่ยงการยืนอยู่เฉย ๆ ไม่ว่าจะยืน นั่ง หรือนั่งไขว่ห้างโดยไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน ๆ เพราะการทำเช่นนี้ทำให้การไหลเวียนของโลหิตไม่ดี

หากใส่ส้นสูงเป็นประจำ และเป็นเวลานาน ควรพักเท้า โดยการนั่งหรือนอนยกเท้าสูงคราวละ 15 นาที หรือการพักเท้าบนม้านั่ง

ควบคุมน้ำหนักตัว และหมั่นออกกำลังกายด้วยการเดิน เพื่อเป็นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณรอบน่อง

ถูตัวหรือแปรงตัวทุกวัน ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต โดยให้เริ่มถู หรือแปรงตั้งแต่เท้า แล้วไล่ขึ้นมาถึงหัวใจ

ไม่สวมเสื้อผ้าที่คับเกินไป โดยเฉพาะบริเวณเอวและต้นขา เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หลีกเลี่ยงการยืน

ฝึกกล้ามเนื้อน่องให้แข็งแรง โดยการยืนตัวตรง เขย่งเท้าขึ้นลงช้า ๆ 3 ชุด ชุดละ 10 ครั้ง ช่วยให้เส้นเลือดดำที่ขาไหลกลับสู่ร่างกายส่วนบนได้ดีขึ้น หรือหากขณะนั่งทำงาน ควรกระดกข้อเท้าขึ้นและลงติดต่อกันหลาย ๆ ครั้ง ให้กล้ามเนื้อน่องเกร็งและคลายตัวสลับกัน

ใส่ถุงน่องแบบกระชับ

ปัญหารอยแผลเป็น

สำหรับวิธีแก้ปัญหารอยแผลเป็นนั้น อาจใช้เจล หรือครีมลบเลือนรอยแผลเป็นมาทาด้วย จะช่วยให้รอยแผลค่อย ๆ หายไปได้ หรือถ้าใครมีแผลเป็นมาก เพราะน้ำเหลืองไม่ดี ก็อาจจะเลือกใส่ถุงน่องที่มีสีเดียวกับสีผิวเรียวขาของเรา จะช่วยพรางรอยแผลเป็นไปได้ แต่ถ้าใครมีงบถึง การทำศัลยกรรมด้วยเลเซอร์ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ลบรอยแผลเป็นออกไปจากเรียวขาของเราได้ค่ะ

ว้าว…เคล็ดลับดี ๆ เพียบเลย ลองเลือกใช้เลือกบริหารกันดูนะคะ อ้อ…แต่คุณสาว ๆ ต้องอดทนกันหน่อยนะ รับรองว่า ถ้าหมั่นบริหารเป็นประจำ ความฝันที่จะมีเรียวขาคู่สวยอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน ทีนี้ก็หยิบกางเกงขาสั้นสวย ๆ มาใส่ได้อย่างมั่นใจแล้วนะ

ออกกำลังกายเพื่อลดต้นขาแบบง่ายๆ

หากคุณกำลังเป็นกังวนกับปัญหาต้นขาใหญ่ที่เป็นต้นเหตุทำให้คุณนั้นต้องสูญเสียความมั่นใจไป เรามี 6 วิธีการออกกำลังกายเพื่อลดต้นขาของคุณให้เรียวสวยขึ้นอย่างง่ายๆ เพียงแค่คุณใช้ช่วงเวลาพักผ่อน หรือดูทีวีก็สามารถทำท่ากายบริหารลดต้นขานี้ได้มาฝากกัน

เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุดคุณควรทำอย่างสม่ำเสมอ ทั้งต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย

1.ในท่านี้จะช่วยกระชับต้นขาและช่วยลดน่อง โดยการยืนตรงแล้วกางขาออกให้พอประมาณ จากนั้นให้เขย่งเท้าขึ้นให้สุดจนรู้สึกว่าตึงที่น่อง นับ 1-20 ในท่านี้ให้ทำประมาณ 20ครั้ง

2.ในท่านี้จะช่วยลดต้นขาด้านใน ให้ยืนตรงแล้วเอามือเกาะพนังห้องหรือที่ยึดอื่นๆตามถนัด จากนั้นเหวี่ยงขาข้างหนึ่งให้สุด เหวี่ยงขึ้น-ลง ในท่านี้ให้ทำประมาณ 30 ครั้ง

3.ยืนในน้ำหรือว่ายน้ำ หลังจากนั้นให้ยกขาขึ้นตีน้ำให้เอามือแตะขอบสระไว้ แล้วยกขาเหวี่ยงไปมาทีละข้าง โดยให้ทำสลับกันประมาณ 30 ครั้ง

4.นั่งลงกับพื้นเหยียดขาให้ตรง หลังจากนั้นค่อยๆยกขาทั้งสองข้างขึ้น ตีขาไปมาสลับกับประมาณ 50-100 ครั้ง

5.นอนราบลงกับพื้น ยกขาทั้งสองข้างขึ้นเหยียดให้ตรง ค้างไว้ 3 นาที จากนั้นให้แยกขาออกจากกันแล้วหุบขาชิด โดยให้ทำสลับกับไปมาประมาณ 20 ครั้ง

6.นอนหงายและเหยียดขายาวๆ โดยใช้หมอนรองไว้ที่ก้นหรือใช้มือยันเอาไว้จะได้ช่วยให้ไม่เจ็บ จากนั้นค่อยๆยกขาทั้งสองข้างขึ้น เหมือนปั่นจักรยานกลางอากาศ 100 ครั้ง

10 เรื่องที่ควรรู้ในการดูดไขมัน

สาวๆหลายๆคน ที่ไม่มีความมันใจในตัวเองนั้น คิดว่า ตัวเองนั้นมีไขมันส่วนเกินมากเกินไป แล้วก็คิดอยากที่จะไปกำจัดไขมันส่วนเกินนั้นออก อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจไปเลยค่ะ เรามาดูข้อควรรู้และเรื่องที่คุณอาจที่จะไม่เคยรู้มาก่อน กันีกว่า

1. การดูดไขมันไม่ได้เป็นการลดน้ำหนักนะ อย่างแรกเลย การดูดไขมันนั้น จะมีผลเฉพาะต่อบางพื้นที่บางจุดแค่นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นขาและเอว (พุง) นอกจากนั้น ก่อนที่คุณจะตัดสินใจไปดูดไขมันส่วนเกินนั้น Dr.Dirk Lazarus ศัลยแพทย์พลาสติก แห่งเคปทาวน์ พูไว้ว่า คุณนั้นควรที่จะมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) น้อยกว่า 30 เท่านั้น

2. วิธีการใหม่ ส่งตรงมาจากสปา วิธีนี้เรียกว่า Cryolipolysis (Cool Sculpting) ซึ่งเป็นการสลายไขมันด้วยความเย็น แต่ว่าวิธีการนี้ ศัลยแพทย์ ยังมีข้อแย่งอยู่ว่า เป็นการสลายไขมันเฉพาะจุดดเพียงเท่านั้น

3. การใช้เทคโนโลยีที่ต่าง ผลลัพท์ก็ต่าง การดูดไขมันออกด้วยวิธี Ultrasonic-Assisted Liposucting (UAL หรือ การดูดไขมันด้วยอัลตร้าซาวด์) ซึ่งใช้การประยุกต์การใช้คลื่นเสียงความถี่สูง ด้วยการใช้สัญญาณเสียงส่งผ่านไปที่ปลายท่อยาว และทำให้เซลล์ไขมันแบบหนาแน่นเช่น ในส่วนหน้าอกและหลัง

ส่วนการดูดไขมันด้วยวิธี Laser Lipolysis (การดูดไขมันด้วยเลเซอร์) ซึ่งเป็นการใช้แสงเลเซอร์ยิงเซลล์ไขมัน ที่ต้องการให้สลายไป จนกลายมาเป็นน้ำมัน เมื่อไขมันนั้นสลายไปแล้ว มันก็จะไหลออกทางเข็มทางเข้าของสายเลเซอร์

ยังมีอีกหนึ่งวิธี นั่นก็คือ Tumescent Technique เป็นการดูดไขมันแบบฉีดสารละลายระหว่างยาชา และยา Epinephrine เป็นวิธีที่มีการพัฒนามาอย่างยาวนานและ แน่นอนว่า วิธีนี้นี่แหละค่ะ ที่คุณจะได้รับบาดเจ็บน้อยกว่า ผิวหนังที่ถูกดูดไขมันออกไปจะเรียบเนียน ไม่ค่อยมีร่องรอยให้เห็น เลือดออกน้อย แถมยังมีรอยช้ำแค่นิดเดียวเท่านั้น

4. ผลของมันจะอยู่นานขึ้น ถ้าหาเรานั้นปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง ระยะพักฟื้น ภายหลังจากที่ดูดไขมันจะสั้นหรือนานกว่าปกติ ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง ถ้าหากว่า คุณใช้ผ้ายืดรัดกระชับรูปทรง และลดความเร็วในการเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้เกิดแผลเป็น เกิดลิ่มเลือดและเลือดคั่งได้ นอกจากนี้ การรับประทานอาหารนั้น ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่ควรจะใส่ใจ ควรหันมาทานอาหารเพื่อสุขภาพ จะดีกว่า เวลาที่เราจะเห็นผลอย่างชัดเจนนั้นก็ราวๆ 6 เดือนได้ นั่นคือระยะเวลาที่คุณจะต้องใส่ใจในตัวคุณเองให้มากขึ้น

5. มันอาจมีผลข้างเคียงได้ ถ้าหากว่าการดูดไขมันนั้น กระทำโดยผู้อ่อนประสบการณ์ ก็จะส่งผล ให้เกิดอันตรายกันคนไข้ได้ อย่างเช่น การเกิดรอยไหม้ของไขมัน จากการ UAL (Ultrasonic-Assisted Liposucting) การอุดตันของลิ่มเลือดที่ปอด และอาการช็อคที่เกิดจากการทดแทนน้ำที่ไม่เหมาะสม หลังจากดการดูดไขมันเสร็จสิน

6. ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น Marella O’Reilly CEO ของ HPCSA (Health Professions Council of South Africa) องค์กรผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุข ได้กล่าวเอาไว้ว่า การดูดไขมันนั้นต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เท่านั้น ภายใต้เงื่อนไขและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม

7. หาย…แต่เพิ่ม งงมั้ยหละ แน่นอนว่า การดูดไขมันนั้น อาจจะทำให้เซลล์ไขมันของคุณนั้นหายไป แต่ทว่าไขมันส่วนอื่นนั้นอาจที่จะเพิ่มมาแทน เพื่อทดแทนส่วนที่หายไป ผู้หญิงรูปร่างปกติ ที่ดูดไขมันที่ต้นขาและท้องน้อย จะมีไขมันในปริมาณที่เท่ากัน เพิ่มขึ้นที่บริเวณเอวส่วนบนช่วงไหล่ และต้นแขนส่วนไตรเซพ การเพิ่มของไขมันนั้น เป็นการพิทักษ์ร่างกายโดยการสะสมไขมัน

ถ้าหากว่า ภายหลังจากที่คุณได้ดูดไขมันไปแล้วนั้น คุณก็จะกลับไปบริโภคอาหารที่ให้พลังงานมากเกินกว่าที่ใช้ในแต่ละวัน ไขมันก็จะกลับเข้ามาอีกในเซลที่ยังไม่ดนทำลาย

8. ไปเพิ่มที่อื่นแทน ถึงแม้ว่าคุณจะทำการดูดไขมันส่วนเกินออกไปแล้ว แต่แน่นอนว่าไขมันจะไม่กลับเข้าไปสะสมอยู่ที่เดิมที่ถูกดูดออกมา เพราะว่าการดูดไขมันนั้น ได้ทำลายผนังเซลล์ในส่วนนั้นไป แต่ไขมันก็จะไปเพิ่มที่ส่วนอื่นแทนนั่นเอง

9. ไขมันนั้นนำไปเพิ่มที่อื่นได้ ไขมันที่ถูกดูดออกไปนั้น จะสามารถนำกลับมาฉีดกลับเข้าไปในอวัยวะส่วนอื่นๆแทน ได้ ตั้งแต่ริมฝีปาก จรดอวัยวะเพศเลยทีเดียว…! มันคือเรื่องจริงนะ เนื่องจากไขมันที่ถูกดูดออกมานั้น มันก็คือส่วนหนึ่งของร่างกายเรา จึงไม่มีโอกาสที่จะต่อต้านด้วยร่างกายของตนเอง และกระบวนการแบบนี้ สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เราดดูดดไขมันเพียงแต่เราต้องฉีดยาชาเพิ่มเข้าไปอีก

10. หญิงจะดีกว่าชาย ศัลยแพทย์พลาสติกจากเมือง เดอร์บัน ประเทศแอฟริกาใต้ ได้กล่าวว่า การดูดไขมันนั้น มักจะประสบผลสำเร็จ ในผู้หญิง มากกว่าใน ผู้ชาย เพราะว่าไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายของเพศชายนั้น จะทำการดูดได้ยากกว่าและใช้เวลานานกว่าในเพศหญิง

ถ้าสาวๆ คนไหน คิดจะไป ดูดไขมัน ส่วนเกินออกละก็ ควรที่จะทำการศึกษาเกี่ยวกับวิธีการและสถานประกอบการณ์ก่อน รวมถึง สภาพร่างกายของตนเองด้วย นี่แหละ ที่สำคัญ ถ้าหากร่างกายคุณนั้นไม่พร้อม ไม่ว่าแพทย์นั้นจะเชี่ยวชาญขนาดดไหน มันก็เสี่ยงเหมือนเดิม

ดูแลหุ่นอย่างไร ให้ดูฟิตและเฟิร์ม ขาสวยอยู่ตลอดเวลา

ปัญหาที่มักจะกวนใจของสาวๆ หลายคน นั่นก็คือเรื่องรูปร่าง ทรวดทรง ซึ่งบางคนนั้น พยายามที่จะควบคุมอาหาร และออกกำลังกายกันสารพัดวิธีแล้ว แต่เจ้าพุงก็ยังยื่น ต้นแขนก็ยังใหญ่ แล้วก็มักจะโผล่มาเป็นอุปสรรค ขัดขวางความงามกันอยู่เรื่อยไป

ไขมันส่วนเกินและเซลลูไลท์ ที่มีการสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณรอบเอว ต้นแขน ต้นขานั้น จัดว่าเป็นไขมันส่วนเกินที่กำจัดได้ยากที่สุด ในบางคน ถ้ามองดูรูปร่างโดยรวมแล้ว ก็ไม่ได้อ้วนอะไรเลย แต่ก็ต้องมานั่งกลุ้มใจกับไขมันส่วนเกินพวกนี้

สำหรับการดูแลหุ่นให้ฟิตและเฟิร์มอยู่ตลอดนั้น จำเป็นต้องอาศัยความมีวินัยในตัวเอง และกำลังใจที่ดีเยี่ยม มีหลักการง่ายๆ คือ

หากคุณรับประทานอาหารในแต่ละวัน ที่ให้พลังงานเกินกว่าที่ร่างกายคุณนั้นต้องการ พลังงานส่วนเกินเหล่านั้นก็จะไปทำการสะสมตัวอยู่ในรูปของไขมันตามส่วนต่างๆ ดังนั้น ถ้าหากคุณต้องการรักษารูปร่างทรวดทรงให้สมส่วนล่ะก็ คุณก็จะต้องทำการควบคุมปริมาณในการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายให้ร่างกายมีความสมดุล ห้ามตามใจปาก ห้ามขี้เกียจ หรือผัดวันประกันพรุ่งเป็นอันขาด จงจำไว้ว่า การหักโหมลดน้ำหนักเป็นครั้งเป็นคราวนั้น ไม่ได้ช่วยให้คุณมีรูปร่างที่ดีได้นานเลย สุดท้ายแล้ว หากนิสัยเดิมๆ ของคุณกลับมา ก็คงไม่แคล้วกลับมามีรูปร่างที่อ้วนอีก หรือในบางคนก็อาจจะต้องเผชิญกับสภาวะ Yo-Yo Effect ที่จะทำให้คุณมีรูปร่างอ้วนกว่าเดิมอีกด้วย

กฎทองของการรักษาหุ่นก็คือ ต้องดูแลการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายให้มีความสมดุลกับความต้องการของร่างกายคุณ จงจำไว้ว่าอัตราการเผาผลาญพลังงานของแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันไป และเมื่อเวลาหรือวิถีชีวิตของคุณมีการเปลี่ยนแปลงไป อัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ถ้าหากคุณรู้ตัวว่าเป็นพวกสาวออฟฟิศ วันๆ เอาแต่นั่งโต๊ะทำงาน ไม่ค่อยได้ใช้พลังงานสักเท่าไรล่ะก็ ก็ควรที่จะเลือกรับประทานอาหารที่มีปริมาณเส้นใยสูง แต่ให้พลังงานที่ต่ำ และที่สำคัญ ก็ควรหาเวลาไปออกกำลังกายบ้าง เพื่อจะช่วยให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ถ้าหากอยากฟิตหุ่นเฉพาะเป็นส่วนๆ ก็อาจจะบริหารร่างกายเฉพาะส่วนเป็นกรณีพิเศษ เพื่อความฟิตและเฟิร์ม หากสามารถทำเช่นนี้ได้เป็นกิจวัตรแล้ว หุ่นของคุณก็ฟิตและเฟิร์มอย่างที่ใจคุณต้องการแล้วล่ะค่ะ

เคล็ดลับการสกัดความอ้วน

– ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ให้พลังานในปริมาณพอดีกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน

– ไม่ควรที่จะอดอาหาร แม้จะต้องการลดความอ้วนก็ตาม เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการหิวจัด จนรับประทานอาหารเกินความจำเป็นในมื้อต่อไปได้

– ค่อยๆ เคี้ยว อาหารให้ช้าๆ และเคี้ยวให้ละเอียด อย่าทำกิจกรรมอื่นๆ ในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหาร เพราะจะทำให้คุณไม่รู้ตัวว่า คุณรับประทานอะไรไปแล้วบ้าง ทำให้ร่างกายได้รับปริมาณอาหารเกินความต้องการได้

– ควรจะเน้นอาหารประเภทที่มีปริมาณไขมันต่ำ มีปริมาณกากใยที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารจำพวกเนื้อปลา ผัก และผลไม้

– ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยวิธีการต้ม หรือลวก แทนการทอด หรือผัด เพราะน้ำมันจากการปรุงอาหาร อาจจะเป็นตัวการที่สำคัญที่ทำให้คุณอ้วนมากขึ้น

– รับประทานอาหารที่มีพริกไทย หรือเครื่องเทศเป็นส่วนผสมในการประกอบอาหาร เพราะว่าจะช่วยกระตุ้นระบบการย่อยและเผาผลาญของไขมันได้

– หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารกรุบกรอบ ขนมหวาน ถ้าหากรู้สึกหิวในระหว่างมื้อ ก็ให้รับประทานผลไม้ที่มีรสไม่หวานมาก แต่มีปริมาณเส้นใยที่สูง เช่น แอปเปิล สับปะรด หรือแก้วมังกร

– ดื่มน้ำให้มากๆ ไม่ควรจะดื่มน้อยกว่า 8-10 แก้วต่อวัน และควรจะดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนการรับประทานอาหารทุกมื้อ

– ควรจะระวังน้ำตาลที่อาจจะแฝงมาในอาหารและเครื่องดื่ม น้ำตาลที่อยู่ในกาแฟเย็น หรือในน้ำอัดลมยี่ห้อโปรดปราน น้ำหวาน หรือน้ำผลไม้กล่อง ก็อาจจะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คุณมีรูปร่างที่อ้วนได้โดยไม่รู้ตัว

– ช่วงก่อนที่จะมีประจำเดือน ผู้หญิงบางคนนั้น อาจจะมีอาการความอยากอาหารที่ผิดปกติ ตัวดูบวมๆ หรือพุงดูยื่นๆ ซึ่งเป็นเพราะว่าระดับฮอร์โมนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะมีประจำเดือน ดังนั้นก็ควรระมัดระวังการรับประทานอาหารให้ดี หรือแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดรุ่นใหม่ที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนโดสที่ต่ำ ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับฮอร์โมนธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกาย ซึ่งจะสมารถช่วยลดปัญหาอาการที่ไม่พึงประสงค์ก่อนที่จะมีประจำเดือนได้

– ควรจะออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อย อาทิตย์ละ 4 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30-45 นาที เป็นระยะเวลาต่อเนื่องกัน เพื่อจะทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้มากขึ้น